ห่างไกลโรคเบาหวานด้วย อบเชย สุดยอดสมุนไพร ที่ธรรมชาติมอบให้เรา

ธรรมชาติย่อมมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เราเสมอ จะเห็นจากสมุนไพรไทยต่าง ๆ มากมายที่สารพัดประโยชน์ อาทิเช่น ว่านหางจระเข้ ขมิ้นชัน รางจืด กระชาย เป็นต้น ซึ่งได้มีการค้นคว้าวิจัยนำมาทำเป็นอาหารเสริม ยารักษาโรค ในการต้านและรักษาโรค บำรุงร่างกาย รวมถึงเครื่องประทินผิวต่าง ๆ ก็นิยมนำสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติมาใช้กันทั้งนั้น นอกจากนี้ยังนำมาปรุงอาหารเพื่อเพิ่มรสชาติ และคุณค่าทางโภชนาการได้อีกมากมาย และสุดยอดสมุนไพรอีกตัวที่เราจะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือ อบเชย ซึ่งเราจะนำเปลือกไม้ชั้นในของต้นอบเชยที่แห้งแล้วมาใช้ ซึ่งมีสีน้ำตาลแดง มีกลิ่นหอมมาก ซึ่งนอกจากจะนิยมนำไปทำเป็นเครื่องเทศในการปรุงอาหาร เช่น แกงพะโล้ ผัดผงกะหรี่ กันแล้ว สรรพคุณของอบเชยยังมีอีกมากมาย รวมถึงการช่วยให้ห่างไกลจากโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงอันดับต้น ๆ ของโลกเลยทีเดียว และข้อมูลที่ว่านี้มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

อบเชยกับสรรพคุณที่มากมาย

ในประเทศไทยนอกจากนิยมนำอบเชยมาปรุงอาหารแล้ว ยังนำมาเป็นส่วนผสมในยาแผนโบราณต่าง ๆ เช่น หอมที่ใช้ชงดื่ม ที่มีสรรพคุณในการ แก้โรคท้องร่วง แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ เพราะมีสารช่วยต้านแบคทีเรียในกระเพาะอาหารและลำไส้ นอกจากนี้ยังมีสารแทนนินสูง จึงนิยมนำมาทำยานัตถุ์ ที่ใช้สูดดม เพื่อให้หายใจคล่องและสดชื่นขึ้น บางรายนิยมนำอบเชยมาใส่ในอาหารเสริม หรือกาแฟ เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมและประโยชน์ให้มากขึ้น

โรคเบาหวานคืออะไร

ก่อนอื่นเราต้องพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคเบาหวานกันก่อนว่ามันคือ โรคที่เกิดจากน้ำตาลสะสมในเลือดมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในการผลิตอินซูลินบกพร่อง จนสูญเสียความสามารถในการนำอินซูลินไปใช้นั่นเอง ซึ่งอาจติดกันได้ทางพันธุ์กรรม คือ คนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งอาการของคนที่เป็นโรคเบาหวานนั้น มักจะหิวน้ำและอาหารบ่อย ปัสสาวะบ่อยเป็นฟอง ปวดหัว หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตัวบวมน้ำ ทั้งมือ เท้า และใบหน้า เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นใครที่มีอาการเหล่านี้ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยโรคและทำการรักษาต่อไป

อบเชยช่วยให้ห่างไกลโรคเบาหวาน

อ.สุธิวัสภ์ คำภา นักธรรมชาติบำบัดที่มีชื่อเสียงระดับโลกได้กล่าวไว้ว่า อบเชยสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลและคอเรสเตอรอลในเลือดได้ ช่วยฟื้นฟูคนป่วยที่เป็นโรคเบาหวานให้หายขาด เพราะอบเชยมีสาร Methylhydroxy chalcone polymer (Mhcp) ที่มีฤทธิ์เหมือนกับอินซูลิน จึงทำให้กระบวนการนำอินซูลินไปใช้ในร่างกายเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในอบเชยยังมีสารช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกายได้อีกด้วย เพราะคนที่มีไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกายสูง ก็จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ อย่างโรค เบาหวาน นั่นเอง

เห็นไหมว่า สรรพคุณของ อบเชย น่าทึ่งขนาดไหน เป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้เรา หากใครที่คิดว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวาน เช่น คนที่ชอบทานของหวาน หรือคนที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ก็สามารถทานอบเชยเสียตั้งแต่วันนี้ โดยการนำแท่งอบเชยมาต้มน้ำดื่ม หรือจะทานแบบแคปซูลง่าย ๆ ก็ได้ ช่วยให้ห่างไกลโรคเบาหวาน และมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง อายุยืนยาวต่อไป

ดูแลตัวเองอย่างไรให้ผิวขาวใส โดยไม่ต้องพึ่งเข็มและยา

ในยุคปัจจุบันนี้ ความล้ำสมัยทางเทคโนโลยีด้านความงาม ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อหนุ่มสาวอย่างมาก เพราะสามารถเนรมิตคนที่มีหน้าตาธรรมดาๆ ให้กลับสวยหล่อขึ้นมาได้อย่างกับคนละคน ไม่ว่าจะเป็นการศัลยกรรมโดยมีดหมอ ทั้งเสริมหน้าอก เสริมจมูก เสริมคาง และที่กำลังมาแรงในตอนนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นการฉีดผิวขาว ไม่ว่าจะฉีดกลูต้าไธโอน ฉีดวิตามินเข้าผิว ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นให้ความสนใจกันเป็นอันมาก ถึงแม้จะอยู่ในความดูแลของหมอ แต่อย่างไรก็ตามก็สู้วิธีการทางธรรมชาติไม่ได้แน่นอน เพราะค่าใช้จ่ายที่สูงมากจากการฉีดผิว รวมทั้งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะสามารถมีสุขภาพผิวที่ดี ขาวเนียนใสได้โดยไม่ต้องพึ่งเข็มและยา ซึ่งวันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ให้มีผิวขาวเนียนใสด้วยวิธีการทางธรรมชาติ ที่ได้ผลและปลอดภัยสูงสุด รวมถึงการมีสุขภาพร่างกายที่ดีขึ้นด้วย อยากรู้แล้วใช่ไหม ว่ามีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

การดูแลตัวเองให้มีผิวขาวเนียนใส

1.ดื่มน้ำที่มีคุณภาพ วันละ 3 ลิตร

น้ำคือ องค์ประกอบหลักของผิวพรรณ เราควรเลือกดื่มน้ำที่สะอาด มีคุณภาพอย่างน้ำแร่ให้ได้วันละ 3 ลิตร / วัน ทุกๆ  2  ชม. เพื่อให้เกิดการขยายตัวของผิวหนังและหลอดเลือด ในการนำวิตามินแร่ธาตุต่างๆ เข้าสู่ผิวได้มากขึ้น เกิดความขาวกระจ่างใส นอกจากนี้ร่างกายยังขับสารพิษในผิวหรือสารพิษในร่างกาย เช่น ตับ ไต ที่เกิดจากสารเคมีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นยาหรืออาหารที่เรากินเข้าไป หรือเครื่องสำอาง เครื่องประทินผิวที่เราใช้ ออกมาทางปัสสาวะและระบบขับถ่ายของเรา เพื่อฟื้นฟูร่างกายใหม่ ส่งผลดีต่อระบบผิวพรรณและสุขภาพของเรานั่นเอง อย่างที่เราเคยได้ยินกันว่า ผิวมีน้ำมีนวล แบบนั้นเลย

2.การดื่มนมวัวแท้ 100%

การดื่มนมวัว เป็นการเติมโปรตีนให้กับผิว มีความยืดหยุ่นแข็งแรง เพราะในนมวัวมีกรดอะมิโนจากโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตวิตามินซีขึ้นมาได้มากกว่าเดิม ผิวจึงขาวเนียนใสขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยขับถ่ายจุลินทรีย์ตัวเสียออกจากร่างกาย ซึ่งควรดื่มนมวัวแท้ 100% แบบไม่พร่องมันเนย ให้ได้วันละ 500 ml. จะแบ่งทานระหว่างวัน หรือทานทีเดียวพร้อมกันเลยก็ได้เช่นกัน

3.ดื่มน้ำผลไม้ตระกูลวิตามินซี

อาจเป็นน้ำส้มคั้นจากส้มเปลือกแข็งอย่างเช่น พันธุ์ธนาธร ก็ได้ คั้นน้ำดื่มก่อนนอนให้ได้ 500 ml. ต่อวัน หรืออาจเป็นน้ำผลไม้อื่นๆ ตามชอบ อย่างน้ำฝรั่ง น้ำเสาวรส เพราะวิตามินซี ในน้ำผลไม้จะช่วยปรับสีผิวให้สว่างกระจ่างใส นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุ แมงกานีส ฟอสฟอรัส ที่ไปช่วย กระบวนการขยายตัวของหลอดเลือดให้เลือดลมไหลเวียนดี ทำให้ผิวมีเลือดฝาด หรือที่เรียกกันว่า ผิวขาวใสอมชมพูนั่นเอง

และทั้งหมดนี้ก็เป็นเคล็ดลับง่ายๆ ใกล้ตัวที่เริ่มจากการดูแลตัวเองด้วยอาหารการกิน เป็นวิธีการทางธรรมชาติที่ปลอดภัยและได้ผลมากที่สุด หากใครนำไปใช้ ก็ไม่ยากเลยที่คุณจะมีผิวขาวเนียนใส สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ลองไปทำกันดูนะ

บุหรี่มือสอง ภัยร้ายสำหรับคนไม่สูบบุหรี่

ทุกคนคงทราบกันอยู่แล้วว่าบุหรี่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ควันบุหรี่ก็มีสารพิษที่เมื่อสูดดมเข้าไปมาก ๆ สามารถทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งพองได้ แต่ไม่ใช่จะมีเพียงผู้ที่สูบบุหรี่เท่านั้นที่จะได้รับอันตรายจากควันบุหรี่ ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่เองแต่ถ้าหากต้องอยู่ร่วมกับคนที่สูบบุหรี่ ก็อาจจะได้สูดดมควันบุหรี่เข้าไปด้วยเช่นกัน และอาจทำเป็นอันตรายต่อสุขภาพไม่ต่างจากผู้ที่สูบบุหรี่เอง และเราเรียกผลกระทบจากควันบุหรี่นี้ว่า บุหรี่มือสอง

บุหรี่มือสอง

                คำว่าบุหรี่มือสองนั้นคือผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้ที่สูบบุหรี่ ทำให้ต้องสูดดมควันพิษจากบุหรี่เข้าไปจนทำให้อาจเกิดโทษต่อร่างกายได้ โดยผู้ที่เป็นบุหรี่มือสองนั้นนอกจากจะได้รับสารจากการสูดดมควันบุหรี่จากผู้สูบโดยตรงแล้ว ต่อให้เราเลี่ยงไม่ไปใกล้ ๆ เวลาที่เขาสูบ เราก็ยังจะได้รับความพิษจากการสูดดมเขม่าควันที่ติดตามเสื้อผ้าของผู้สูบได้เช่นกัน โดยผู้ที่เป็นบุหรี่มือสองนี้มักจะได้รับสารพิษจากควันบุหรี่มากกว่าผู้สูบเองด้วยซ้ำ เพราะเวลาสูบบุหรี่ควันที่พ่นออกมานั้นมีปริมาณมากกว่าที่ผู้สูบ สูบเข้าไปดังนั้นผู้ที่ไม่สูบจึงสูดควันเข้าไปเต็ม ๆ  เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบ จึงมีแนวโน้มที่จะป่วยเพราะควันบุหรี่มากกว่าผู้ที่สูบซะอีก

โทษจากควันบุหรี่

                เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าควันบุหรี่มีโทษต่อร่างกายเป็นอย่างมาก และในควันบุหรี่ก็มีสารพิษให้โทษต่อระบบร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นิโคติน, ทาร์, ไฮโดรเจนไซยาไนด์, คาร์บอนมอนอกไซด์ และยังมีสารพิษให้โทษอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสารพิษเหล่านี้ส่งผลต่อระบบต่างของร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ระบบทางเดินหายใจ การทำงานของหัวใจ หรือแม้แต่ดวงตาเป็นต้น

ควันบุหรี่ส่งผลกะทบต่อร่างกายอย่างไร

                ควันจากบุหรี่มีผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายดังนี้

ผลกระทบต่อดวงตา เนื่องจากควันบุหรี่มีสารพิษอยู่มาก ดังนั้นเมื่อเราสูบบุหรี่บ่อย ๆ ควันจากบุหรี่ก็จะขึ้นไปเกาะสะสมอยู่ที่กระจกตา เมื่อสะสมไปเป็นเวลานานอาจจะทำให้กลายเป็นโรคต้อกระจกได้

ผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ เราทราบดีอยู่แล้วว่าการสูบบุหรี่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบทางเดินหายใจซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งปอดหรือโรคถุงลมโป่งพองได้

ผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ สารนิโคตินและสารพิษอื่น ๆ ในควันบุหรี่มีผลทำให้หลอดเลือดหัวใจหดตัวซึ่งเป็นสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจและส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

เราต่างรู้กันดีว่าบุหรี่นั้นให้โทษต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นหากเราเลี่ยงที่จะไม่สูบได้ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเราและคนรอบข้าง หรือแม้แต่ผู้ที่สูบบุหรี่ ก็ควรที่จะพยายามเลิกสูบ เพราะเมื่อคุณสูบไม่ใช่แค่คุณที่ได้รับผลกระทบ แต่ครอบครัวและคนที่คุณรักเองก็ได้รับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ด้วยเช่นกัน

แสงสีฟ้า อันตรายใกล้ตาที่หลายคนยังละเลย

ในปัจจุบันนี้โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์แทบจะเป็นปัจจัยที่ 5 ของเราไปแล้ว เรามีติดตัวกันทุกคนและเรายังใช้มันตลอดเวลา ไม่ว่าจะใช้ในการทำงานหรือเพื่อความบันเทิงก็ตาม เราแทบจะมองจอกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในตอนทานข้าว ตอนรอรถ หรือเวลาว่าง ๆ เราก็มักจะนำโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นเกมส์หรือเล่นอินเตอร์เน็ต แต่เรารู้หรือไม่ว่า หน้าจอที่เรานั่งก้มหน้าจ้องมันตลอดเวลานี้ มันมีอันตรายซ่อนอยู่ เจ้าอันตรายที่ว่านี่ก็คือแสงสีฟ้าที่สามรถทำร้าย ทำลายดวงตาของเราได้นั่นเอง

แสงสีฟ้าคืออะไร

                หลาย ๆ คนทราบว่าในหน้าจอมือถือ จอคอมพิวเตอร์ และจอทีวีนั้นมีแสงสีฟ้า แต่แม้แต่แสงอาทิตย์ก็มีแสงสีฟ้าเช่นกันเป็น ถึงแม้เราจะทราบว่าแสงสีฟ้าเป็นอันตรายต่อดวงตา แต่เรามักไม่ทราบว่าแสงสีฟ้าส่งผลต่อดวงตาของเราอย่างไร แสงสีฟ้าคือแสงที่มีพลังงานสูงซึ่งเป็นแสงที่มีความสามารถทำลายจอประสาทตาของเราได้ และนอกจากจะมีผลต่อดวงตาแล้วยังไปยับยั้งการหลังของสารเมลาโทนินซึ่งก่อให้เกิดอาการนอนไม่หลับได้อีกด้วย แต่ในโลกยุคปัจจุบันนี้จะให้เราเลิกใช้สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเรายังคงใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการทำงานอยู่ แต่เรามีวิธีในการดูแลรักษาและถนอมดวงตาที่ต้องใช้งานอยู่กับแสงสีฟ้าเช่นกันดังต่อไปนี้

  1. ปรับแสงสว่างหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะไม่ให้สว่างหรือมืดจนเกินไป
  2. พักสายตาละสายตาจากหน้าจอบ้าง ไม่ควรจ้องหน้าจอติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ
  3. ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการตาแห้ง
  4. ทานผักหรือผลไม้ที่มีวิตามินที่มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาเช่น ผักบุ้งหรือฟักทองเป็นต้น
  5. ติดฟิล์มกรองแสงหรือใส่แว่นตาที่ช่วงกรองแสงสีฟ้า
  6. เมื่อรู้สึกว่าสายตาล้า ให้มองออกไปไกล ๆ มองบริเวณที่มีต้นไม้สีเขียวเป็นการพักสายตา

ดังนั้นเมื่อเราเลี่ยงไม่ได้ เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อรักษาดวงตาของเรา เพราะดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญในการดำเนินชีวิต อย่าอยู่กับหน้าจอนานเกินไป ออกไปมองฟ้า มองธรรมชาติบ้าง เพราะนอกจากจะเป็นผลดีกับดวงตาของเราแล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิตของเราอีกด้วย เรามักใช้เวลาว่างไปกับการมองภาพในจอ แต่ยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากให้เราได้ใช้เวลากับมัน สำหรับใครที่ต้องทำงานอยู่กับหน้าจอทั้งวันแล้ว ในการทำงานเราคงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ แต่เมื่อเรามีเวลาว่างเราก็ไม่ควรจมอยู่กับหน้าจอเช่นเดิม ควรไปพักสายตาบ้างเพื่อให้สายตาเราไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป

นอนวันละ 8 ชั่วโมงดีจริง หรือแค่เรื่องสมมุติ

การนอนถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย เพราะร่างกายจะได้พักจากการทำงานหนัก ได้จะฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในช่วงเวลาที่เรานอนได้มากที่สุด คนเราต้องนอนวันละ 6-8 ชั่วโมง เป็นวลีที่เราเรียนเราท่องจำกันมาตั้งเด็ก ๆ ซึ่งที่จริงแล้ว คนเราต้องนอนวันละ 6-8 ชั่วโมงเลยหรือไม่และคนที่เขานอนวันละไม่ถึง 6ชั่วโมงจะเป็นอย่างไร และจะส่งผลต่อสุขภาพอย่างไรกัน

นอนให้พอดีต้องกี่ชั่วโมง

                เราเคยสังเกตมั้ยว่า ยิ่งเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น เรายิ่งนอนน้อยลง ยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งหลับยาก นอนดึกขึ้น อาจจะด้วยเพราะความเครียดที่สะสมมาจากการทำงานก็เป็นได้ที่ทำให้เรานอนไม่หลับ แต่รู้หรือไม่ช่วงเวลาในการนอนที่เหมาะสมนั้นเราแบ่งตามช่วงอายุดังนี้

เด็กแรกเกิดตั้งแต่ 0-3 เดือน จะนอนวันละ 14-17 ชั่วโมงต่อวัน เพราะยังปรับสภาพการตื่นหลังจากคลอดไม่ได้ เพราะเวลาอยู่ในครรภ์มารดา ทารกจะหลับซะเป็น ส่วนใหญ่ อาจจะมีตื่นขึ้นมาบ้างแต่ก็เป็นช่วงเวลาสั่น ๆ ดังนั้นเด็กแรกเกิดจึงค่อนข้างจะนอนตลอดทั้งวัน

เด็กทารกตั้งแต่ 4-11 เดือน จะนอนวันละ 12-15 ชั่วโมง เป็นช่วงที่เด็กเริ่มปรับตัวได้แล้วว่าควรจะต้องนอนเวลาไหน ควรตื่นเวลาไหน และจะใช้เวลาตื่นระหว่างนานขึ้น

เด็กก่อนวัยเรียนอายุ 1-2 ปี จะนอนวันละ 11-14 ชั่วโมง เด็กในวัยนี้เป็นวัยที่พัฒนาการในด้านต่าง ๆ มีเพิ่มมากขึ้น จะเริ่มสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เริ่มที่จะเล่นอะไรได้มากขึ้น ทำให้เด็กจะเริ่มนอนน้อยลง

เด็กอนุบาลอายุ 3-5 ปี จะนอนวันละ 10-13 ชั่วโมง เด็กในวัยนี้จะเริ่มได้เข้าเรียนในโรงเรียนแล้ว แต่กิจกรรมในโรงเรียนนั้นต้องใช้พลังงานและร่างกายกำลังเจริญเติบโต จึงยังทำให้ช่วงเวลาในการนอนยังมากอยู่

เด็กประถมอายุ 6-13 ปี ควรนอนวันละ 9-11 ชั่วโมง เด็กในวัยนี้จะเริ่มนอนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเด็กวัยนี้ ได้เล่น ได้ลอง ได้เห็นอะไรใหม่ ทำให้เริ่มไม่อยากนอน และนอนน้อยลงตาไปด้วย

เด็กมัธยมอายุ 14-18 ปี ควรนอนวันละ 8-10 ชั่วโมง วัยนี้เป็นวัยที่เข้าสู่การเรียน การแข่งขั้นการเตรียมพร้อมที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ เวลานอนจึงลดน้อยลง เพราะมีอะไรให้ต้องทำมากขึ้น และวัยนี้ยังเป็นวัยที่เกิดความเครียดสะสมจนอาจจะทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับได้

วัยผู้ใหญ่หรือวัยทำงานอายุ 19-64 ปี ควรนอนวันละ 7-9 ชั่วโมง วัยนี้เป็นวัยที่เข้าสู่การทำงานอย่างจริงจัง ทำให้เวลานอนน้อยลง และยังเป็นวัยที่มีเวลานอนน้อยที่สุด

วัยชรา อายุ 65 ปีขึ้นไป ควรนอนวันละ 7-8 ชั่วโมง คนในวัยชราร่างกายเริ่มเสื่อมสมรรถภาพ จึงต้องนอนเพิ่มมากขึ้นเพื่อร่างกายจะได้พักผ่อนมากขึ้น

ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงอายุไหน การนอนถือเป็นสิ่งที่สำคัญทุกช่วงอายุ ดังนั้นเราควรปรับเวลานอนให้สมดุล ไม่ควรเครียดมากเกินไปเพราะจะส่งผลต่อสุขภาพของเราได้

งดขนมของหวาน ทานแต่ผลไม้ แต่ทำไมยังอ้วนอยู่?

                การลดน้ำหนักนั้นเรารู้กันอยู่แล้วว่าจะต้องงดการทานขนม ของหวาน และหันมาทานผักและผลไม้เป็นหลัก แต่สงสัยหรือไม่ว่า เราก็ทานแต่ผักและผลไม้ แต่ทำไมยังอ้วนอยู่ ทั้งที่งดขนมของหวานแต่ทำไมน้ำหนักยังไม่ลด นั่นก็เพราะผลไม้นี่แหละที่อาจจะเป็นสาเหตุของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เพราะผลไม้บางชนิดก็น้ำตาลสูงพอ ๆ กับขนมเลย และถ้าเป็นแบบนี้แล้วจะทำยังไงดี ต้องเลือกกินอย่างไรถึงจะไม่อ้วน

กินผลไม้ทำไมอ้วน

                กินผลไม้แล้วทำไมยังอ้วน เพราะผลไม้บางชนิดก็มีความหวานมีปริมาณของน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตสูง และน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตในผลไม้นี่แหละที่เป็นตัวการทำให้เราน้ำหนักขึ้น ดังนั้น ถ้าหากเราต้องการจะควบคุมน้ำหนักด้วยการทานผลไม้ ก็ต้องเลือกชนิดของผลไม้เช่นกัน ว่าผลไม้ชนิดไหนที่จะทำให้น้ำหนักเราเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลไม้ที่ไม่แนะนำให้ทานในขณะควบคุมน้ำหนักก็คือพวกผลไม้เขตร้อน หรือผลไม้พื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี อย่างเช่น มะม่วง, ทุเรียน, เงาะ, ลำไย, กล้วย และผลไม่ที่มีรสหวานจัดอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะผลไม้เหล่านี้มีปริมาณน้ำตาลที่สูงมาก ถ้ากินมาก ๆ อาจทำให้อ้วนได้โดยไม่รู้ตัว

แต่ถึงแม้ว่าจะมีผลไม้ที่เราต้องเลี่ยงแต่ก็ยังมีผลไม้อีกหลากหลายชนิดที่เรายังสามารถรับประทานได้ในช่วงลดน้ำหนัก คือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะนอกจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะอร่อยแล้วยังแคลอรี่ต่ำอีกด้วย นอกจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่แล้วยังมีผลไม้อีกหลากหลายชนิดที่สามารถทานได้ในขณะลดน้ำหนัก เช่น

1. แก้วมังกร เพราะแก้วมังกรจะมีเส้นใยเยอะจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย

2. แตงโม ถึงแม้ว่าแตงโมจะมีรสชาติหวานแต่แตงโมก็เป็นผลไม้ที่มีน้ำเยอะช่วยทำให้อิ่มไว และมีเส้นใยสูงอีกด้วย

3. มะละกอ เป็นผลไม้ที่มีรสหวานอีกชนิดที่สามารถรับประทานได้ในช่วงลดน้ำหนัก เพราะมะละกอเต็มไปด้วยเส้นใย แถมยังมีส่วนช่วยในการขับถ่าย เมื่อกินเป็นประจำก็จะช่วยให้ท้องไม่ผูกอีกด้วย

และการทานผักใบเขียวก็มีส่วนช่วยอย่างมากต่อระบบขับถ่าย หากเรารับประทานผักใบเขียวเป็นประจำ เส้นใยในผักจะช่วยให้เราท้องไม่ผูก เมื่อการขับถ่ายเป็นปกติรูปร่างที่ดีก็จะตามมา

กินผลไม้อย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

                ถึงแม้ว่าการทานผักและผลไม้จะส่งผลดีต่อร่างกายก็ตาม แต่อะไรที่มากเกินไปย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพ การทานผลไม้ก็เช่นกัน ผลไม้ที่มีรสชาติหวานนั้นไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถทานได้ แต่ให้ทานแต่น้อยทานแต่พอดีก็จะไม่เกิดผลเสีย การรู้จักเลือกรับประทานอาหาร และการรับประทานแต่พอดีนั้นเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพและรูปร่าง เพราะถ้าเราไม่รู้จักเลือกกิน กินไม่เลือก ไม่ว่าเราจะออกกำลังกายอย่างไรก็คงไม่สามารถจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีได้

อย่า อยู่ อย่าง ซึมเศร้า รีบแก้ปัญหาด่วนหากคุณมีอาการแบบนี้

                ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ โรคที่ทุกคนเริ่มได้ยินบ่อยขึ้นคือโรคซึมเศร้า ถือเป็นโรคที่เด็กวัยรุ่นและคนในวัยทำงานเริ่มเป็นกันอย่างแพร่หลาย อาจด้วยเพราะความเครียด ความกดดันจากการแข่งขันกันในสังคมปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียนที่นอกจากจะแข่งขันกันในด้านการเรียนแล้ว ในด้านความสามารถพิเศษก็ยังมีกระประกวดแข่งขันกัน จึงอาจทำให้เกิดความเครียดสะสมจนกลายเป็นโรคซึมเศร้าได้ หรือแม้แต่คนวัยทำงานที่ต้องแข่งกันการคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ เพื่อให้ทันโลกทันต่อความต้องการของคน ก็อาจจะทำให้เกิดความเคร่งเครียดจากงานจนเป็นต้นต่อของการเป็นโรคซึมเศร้าได้ แต่ว่าเรารู้จักโรคซึมเศร้าดีแค่ไหน และจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรกับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้าคืออะไร

โรคซึมเศร้านั้นเป็นโรคที่เกี่ยวกับสภาวะทางจิตอันมีปัจจัยของการเกิดโรคได้หลายปัจจัย เช่น การสูญเสียครั้งใหญ่ ความเครียด กรรมพันธุ์ หรือเกิดจากสารเคมีในสมองโดยอาการของคนที่เป็นโรคซึมเศร้านั้น หากเราดูผิวเผินอาจไม่สามารถทราบได้เลยว่าคนคนนั้นเป็นโรคซึมเศร้า เพราะผู้ป่วยซึมเศร้ามักไม่แสดงออกว่ากำลังรู้สึกแย่ มักกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเอง ต้องเข้าไปคุยอย่างใกล้ชิดถึงจะสามารถสังเกตได้ว่ามีแนวโน้มในการเป็นโรคซึมเศร้า ซึ่งเราสามารถสังเกตอาการเบื้องต้นของตัวเองได้ ว่าตัวเองมีอาการของโรคซึมเศร้าหรือไม่ดังต่อนี้

  1. มีอาการซึมเศร้า เก็บตัว ไม่อยากพบปะผู้คน
  2. น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นอย่างมาก
  3. นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิทหรือมีอาการฝันร้ายบ่อย ๆ หรือนอนมากจนผิดปกติ
  4. รู้สึกอ่อนเพลียตลอดเวลา
  5. ไม่มีสมาธิที่จะทำกิจกรรมอะไรได้นาน ๆ
  6. มักโทษตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ต่อให้เป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็สามารถนำมาคิดโทษตัวเองได้
  7. รับประทานอาหารได้น้อยลงหรือมากขึ้นจนเกินพอดี
  8. มีอาการเชื่องช้า ไม่ว่าจะทำกิจกรรมอะไรก็มักจะช้ากว่าปกติ
  9. มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย

ถ้าหากว่าคุณพบว่ามีอาการตรงตามข้อทดสอบตั้งแต่ 5 ข้อ ขึ้นไปให้สันนิฐานว่าคุณกำลังมีอาการของโรคซึมเศร้า

เมื่อพบว่าตัวเราหรือคนใกล้ตัวมีอาการของโรคซึมเศร้าควรทำอย่างไร

                เมื่อคุณสังเกตพบว่าตัวคุณ หรือคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้า วิธีที่แนะนำว่าควรจะทำอย่างเร็วที่สุดคือไปพบแพทย์ ให้แพทย์วินิจฉัยลักษณะอาการ เพื่อจะได้ทำการรักษาอย่างถูกวิธี และไม่ควรอดทนอยู่ในสภาวะซึมเศร้าหรือตึงเครียดนานจนเกินไปเพราะอาจจะทำให้อาการรุนแรงขึ้น สมัยนี้การไปพบจิตแพทย์ไม่ได้หมายถึงว่าคุณเป็นคนบ้า แต่คุณสามารถไปปรึกษาจิตแพทย์ได้หากคุณมีอาการเครียดสะสม หรือเกิดสภาวะทางอารมณ์ที่รุนแรง และถ้าคุณไม่อยากก้าวเข้ามาอยู่ในสภาวะซึมเศร้า คุณจงใช้ชีวิตสบาย ๆ ไปตึงจนเกินไป รู้จักปล่อยวางชีวิตจะได้มีความสุขมากยิ่งขึ้น

วิธีการลดน้ำหนัก ตาม lifestyle ที่เหมาะกับตัวเอง

ยุคนี้เป็นยุคที่คนเริ่มหันมาสนใจดูแลสุขภาพและรูปร่างกันมากขึ้น แต่ปัญหาก็คือ การลดน้ำหนักในยุคที่มีอาหารหลากหลายชนิดที่ล้วนแต่น่ารับประทาน แบบนี้มันช่างยากซะเหลือเกิน วิธีการลดน้ำหนักนั้นเราคิดว่าทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง ต้องทานอาหารที่มีประโยชน์เน้นผักผลไม้ งดของหวาน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง ทานอาหารคลีนวันละ 3 มื้อได้ ดังนั้นวันนี้เรามี วิธีการลดน้ำหนักตาม lifestyle มาเสนอ เป็นวิธีที่ง่าย ๆ ที่ทุกคนน่าจะทำตามได้และลดได้จริง

กระบวนการลดน้ำหนักที่ทำแล้วเห็นผลแน่นอน

                การลดน้ำหนักตาม lifestyle นั้นข้อแรกที่ต้องทำคือการ สำรวจตัวเอง ขั้นแรกลองนึกย้อนดูว่าเราเริ่มอ้วนตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ต้องเอาตัวเลขเป๊ะ ๆ ก็ได้ เอาแค่ตัวเลขคราว ๆ ก็พอ เพื่อที่จะได้ทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าเราอ้วนสะสมมานานแล้ว เพราะฉะนั้น การลดน้ำหนักมันก็จะไม่เห็นผลในวันสองวันแน่นอน เราต้องอดทน

ขั้นที่สองสำรวจลักษณะนิสัยการกินของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แล้วลิสต์รายการของที่ทานบ่อยที่จะทำให้อ้วนมาเลยว่าสิ่งเหล่านี้เราต้องเลี่ยง ให้เป็นลิสต์รายการอาหารต้องห้าม เมื่อลิสต์สิ่งต้องห้ามแล้วก็ต้องมาลิสต์สิ่งที่มีประโยชน์ที่เราชอบทาน และให้ยึดอันนั้นเป็นที่พึ่ง เพราะถึงแม้ว่าเราจะควบคุมอาหารแต่ก็ยังอยากให้ยึดตามความชอบของตัวเองอยู่ เพราะถ้าเราต้องฝืนทานในสิ่งที่ไม่ชอบตลอดเวลา อีกไม่นานจะต้องตบะแตกแน่ ๆ ดังนั้นจึงให้เลือกทานผักหรือผลไม่ที่ชื่นชอบเป็นหลัก เพื่อจะได้ไม่เป็นการบั่นทอนกำลังใจในการลดน้ำหนัก เพราะถึงแม้ว่าเราจะควบคุมอาหารแต่ก็ยังได้ทานของที่ชอบอยู่ แต่การลดน้ำหนักก็จะต้องควบคุมอาหารเพราะฉะนั้นอาหารต้องห้าม ก็คือห้ามทาน

ขั้นสาม สำรวจเวลาว่าง การลดน้ำหนัก นอกจากการควบคุมอาหาร จะต้องทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นเราต้องสำรวจตัวเองว่าเรามีเวลาว่างในการออกกำลังกายหรือไม่ ในกรณีของใครที่ไม่มีเวลาไปออกกำลังกายตามฟิตเนส เรามีวิธีมานำเสนอ คือ เดินให้มากขึ้น เช่น ปกติเราจะขึ้นลิฟต์ก็ให้เปลี่ยนมาเป็นวิ่งหรือเดินขึ้นบันไดแทน แรก ๆ อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ถ้าทำเป็นประจำทุกวันจะเริ่ม เดินมากขึ้น เคลื่อนไหวร่างกายบ่อยขึ้น เมื่อมีเวลาว่างก็ออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้านให้บ่อยขึ้น ตื่นเช้ามาถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายเบา ๆ ในห้องก็ได้

ขั้นสุดท้ายคือการจัดสรรเวลาในการนอน และการรับประทานอาหาร การนอนดึกถือเป็นภัยต่อการลดน้ำหนักอย่างมากเลย เพราะถ้าเรานอนดึกตื่นสาย เราก็จะไม่ได้ทานข้าวเช้า เวลาอาหารในแต่ละมื้อมันก็จะรวนไปหมด ให้เราขยับเวลานอนให้เร็วขึ้น เพื่อให้เราได้พักผ่อนได้เต็มที่เราจะได้ตื่นเช้ามาอย่างสดใส โดยถ้าหากใครนอนดึกเป็นประจำร่างกายจะชินกับเวลานอนนั้น ให้ค่อย ๆ ขยับเวลานอนให้ไวขึ้นซักครึ่งชั่วโมง ค่อย ๆ ขยับเวลาร่างกายค่อย ๆ ปรับตัว หลังจากนั้นเราก็จะสามารถจัดเวลาในการทานอาหารได้โดยที่อาหารเช้าแนะนำว่าไม่ควรจะเกิน 9 โมงเช้า อาหารกลางวันไม่ควรจะเกินบ่าย และอาหารเย็นไม่ควรจะเกินหกโมงเย็นและต้องเป็นอาหารที่เน้นผัก ควรเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง และของหวาน

หากเราสามารถทำตามขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ได้ รับรองว่าน้ำหนักจะต้องลดลงอย่างแน่นอน แท้จริงแล้ววิธีที่กล่าวมาทั้งหมดมันคือวิธีการค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้เป็นระบบมากขึ้น เลือกกินมมากขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น นอนเร็วขึ้น เมื่อเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแย่ ๆ ในใช้ชีวิตของเราได้แล้วนอกจากจะได้หุ่นที่ดีแล้วสุขภาพก็จะดีตามไปด้วย

เดินวันละนิด จิตแจ่มใส เดินหมื่นก้าวอายุยืนอีกหลายปี

เทรนด์การออกกำลังกายที่กำลังมาแรงในพศ.นี้ หนีไม่พ้นการเดิน หรือการวิ่ง ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุนมากนัก เพียงแต่เราต้องหาข้อมูลและเตรียมร่างกายให้พร้อม จากนั้นก็จัดตารางการเดิน พร้อมตั้งเป้าหมายแต่ละวัน ว่าเราต้องการจะลดกิโลแคลอรี่วันละเท่าไร และต้องใช้เวลากี่นาที สำหรับคนที่รักการออกกำลังการเดินก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการเผาผลาญพลังงาน และเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดจากการงานและชีวิตประจำวันลงได้เป็นอย่างดี

ต้องเดินกี่นาที และเผาผลาญได้กี่แคล?

หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมบางคนเดินใช้เวลาเดินเพียงวันละ 30 นาที  1 สัปดาห์ ก็เห็นความแตกต่างของรูปร่างที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่บางคนหักโหมเดินวันละเป็นชั่วโมง ๆ กลับน้ำหนักคงที่หรือไม่ก็เพิ่มขึ้นมาอย่างน่าตกใจ ทั้งนี้เราต้องดูเหตุปัจจัยประกอบหลาย ๆ อย่าง ซึ่งอันดับแรก คือการเผาผลาญไขมันของร่างกายแต่ละคนนั้นทำได้ไม่เท่ากัน ตามมาตรฐานสากล การเดินเบา ๆ เพียง 30 นาทีต่อวันในช่วงเช้า ก็สามารถเผาผลาญได้ 120-170 กิโลแคลอรี่ แต่ถ้าเราเปลี่ยนมาเป็นเดินเร็วในเวลา 30 นาที ก็จะสามารถเผาผลาญได้สูงขึ้นถึง 480 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้าอยากเอากิโลแคลอรี่ออกไปเยอะ ๆ ก็ควรเดินให้เร็วขึ้น ก้าวเท้าถี่ ๆ วิธีนี้จะช่วยเผาผลาญกิโลแคลอรี่จากกล้ามเนื้อบริเวณขาและสะโพกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยให้หัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้นด้วย

เดินแบบไหน จะช่วยลดพลังงาน

เชื่อหรือไม่ว่า การเดินในชีวิตประจำวันของเราก็สามารถช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้ เช่น การเดินขึ้นบันไดไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือที่ทำงาน ในเวลาประมาณ 15 นาที จะเกิดการเผาผลาญพลังงานมากถึง 150 กิโลแคลอรี่ต่อครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อต้นขา น่อง และบริเวณก้นให้แข็งแรงกระชับมากยิ่งขึ้น การเดินแกว่งแขน นอกจากจะช่วยเผาผลาญพลังงาน ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลืองให้ไหลเวียนดีขึ้น ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนการเดินสลับวิ่งนั้น จะเป็นการกระตุ้นระบบการไหลเวียนโลหิตและการทำงานของหัวใจ เช่น เดิน 30  ก้าววิ่ง 30 ก้าว อย่างต่ำ 30 นาที ก็จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญกิโลแคลอรี่ได้มากกว่า 230 กิโลแคลอรี่ต่อครั้ง

แต่ไม่ว่าจะเดินด้วยวิธีใด ก็เป็นการมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกันนั่นคือการเผาผลาญพลังงานส่วนเกิน รักษาสุขภาพ ลดน้ำหนัก และเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้การเดินเป็นกิจกรรมที่ทำได้ทั้งครอบครัว ช่วย กระชับพื้นที่ความสุขให้กับหัวใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

โรคอ้วน…ป้องกันได้ ลดอาหาร เพิ่มการออกกำลังกาย ง่าย ๆ เท่านี้

หลายคนคงเคยประสบปัญหาเรื่องน้ำหนักเกิน แต่อีกหลายคนอาจจะกำลังเผชิญหน้าอยู่กับโรคอ้วน ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่วนเวียนอยู่ในช่วงชีวิตของคนเรา เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน เกาต์ โรคหลอดเลือดหัวใจ ฯลฯ ด้วยวิถีชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน มีอัตราเครียด และอาหารการกิน ที่มีความเสี่ยงต่ออันตรายและโรคภัยไข้เจ็บสูง กว่าที่เราจะรู้ตัวและหาทางป้องกัน บางทีก็อาจจะสายเกินไป  แต่สำหรับบางคนซึ่งได้พิสูจน์ผลลัพธ์ของการมีสุขภาพดีด้วยตนเองนั้น มีหลักคิดสำคัญอยู่ 3 ประการได้แก่ 1.การออกกำลังกาย 2.การควบคุมอาหาร 3.การคิดบวก ซึ่งหากเราทำ 3 สิ่งนี้เป็นประจำ น้ำหนักก็จะคงที่ ไม่อ้วนและไม่ผอม จนเกินไป ส่งผลให้คนเรามีอายุยืนยาวแข็งแรงได้จนถึง 85 ปีเลยทีเดียว

รู้ไว้ห่างไกล “โรคอ้วน”

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า อะไรคือสาเหตุของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แล้วทำไม? การลดน้ำหนักโดยการควบคุมอาหาร เพียงอย่างเดียว จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและอาจได้ผลเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ต้นตอที่ทำให้คุณรู้สึกหิวบ่อย ๆ นั่นเป็นเพราะตลอดทั้งวัน คุณรับประทานข้าว (คาร์โบไฮเดรต) หรือ อาหารจำพวกแป้ง มากจนเกินไป ไม่เพียงแต่จะทำให้ไขมันสะสมที่หน้าท้อง ยังรวมไปถึงไขมันในเส้นเลือดอีกด้วย

รับประทานผลไม้มากจนเกินไป ก็ทำให้อ้วนได้ จริงหรือ?

หลายคนเลือกที่จะลดน้ำหนักและป้องกันสภาวะอ้วน ด้วยการควบคุมอาหาร ลดประมาณคาร์โบไฮเดรต หรือใช้วิธี โลว์คาร์บ (Low-carb หรือ Low-carbohydrate ) เทคนิคการลดน้ำหนักโดยการพร่องแป้ง แล้วเปลี่ยนมาบริโภคอาหารจำพวก โปรตีน จากเนื้อสัตว์เช่น ปลาและไข่ ธัญพืช ผักใบเขียนวและผลไม้เข้าไปในระหว่างมื้ออาหาร อย่างไรก็ตามควรระวังการบริโภคผลไม้บางชนิดที่เปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ แต่เต็มไปด้วยน้ำตาลจำนวนมาก เช่น เงาะ ทุเรียน กล้วยน้ำว้า มะม่วง ลำไย สัปปะรด จากข้อพบว่าการรับประทานกล้วยน้ำว้าในปริมาณ 100 กรัม จะให้พลังงานสูงถึง 147 แคลอรี่ ซึ่งต้องอาศัยออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานดังกล่าวซึ่งมีหลายวิธีได้แก่ การเดินเป็นเวลา 53 นาที การวิ่ง 23 นาที การว่ายน้ำ 17 นาที หรือการปั่นจักรยาน 31 นาที

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะมองข้ามปัญหาและโรคภัยไข้เจ็บที่จะตามมาอีกมากมาย เมื่อเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานก็อาจจะหากิจกรรมผ่อนคลายด้วยวิธีต่าง ๆ กันไป และอาจทำให้การควบคุมน้ำหนักห่างไกลจากเป้าหมายเริ่มต้นออกไปทุกที ดังนั้นหากเราหันมาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้เผาผลาญพลังงานมากขึ้น ควบคู่กับการวางแผนการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อดึกนอกบ้าน หันมาทำกับข้าวรับประทานกันในช่วงวันหยุดพักผ่อนนอกจากจะช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจ ให้ควบคุมน้ำหนักได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้แล้วยังสร้างความอบุอ่นและกระชับอ้อมกอดให้กับคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้นด้วย