สังคมชนบทกับเกษตรวิถี ชีวิตที่ใครหลายคนกำลังฝันถึง

เกษตรกรรมถือเป็นอาชีพที่อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ครั้งโบราณนานมาก็มาชีพนี้เป็นเสาหลักให้แก่สังคมไทยมาตลอด แต่ด้วยความที่เป็นอาชีพที่ต้องใช้แรงงานและผลตอบแทนที่แทบจะไม่คุ้มในแต่ละปี ทำให้บรรดาเกษตรกรไทยมักจะบอกลูกหลานว่าการเกษตรนั้นมันเหนื่อยแบบนั้นแบบนี้ สู้เรียนสูง ๆ แล้วเข้าไปทำงานสบาย ๆ ในเมืองใหญ่ดีกว่า จึงทำให้ลูกหลานของเกษตรกรต่างหลั่งไหลทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิด ทิ้งไร่ทิ้งนามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองใหญ่เพื่อหางานทำดังที่เราเห็นกันทั่วไปในสังคม

แต่ด้วยความที่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่แน่นอนในสังคมสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง โรคระบาดและอีกมากมายหลายเรื่อง ที่นำมาซึ่งปัญหาหลายอย่างเกิดขึ้นกับการใช้ชีวิตองผู้คนในเมือง ไม่ว่าจะเป็นการตกงานกะทันหัน ความวุ่นวายในเมือง ฝนตกรถติดอะไรต่าง ๆ นานา ทำให้หลาย ๆ คนเริ่มจะมองกลับไปถึงสังคมชนบทและวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมอีกครั้ง รวมไปถึงมีใครหลายคนที่กลับไปทำและประสบความสำเร็จ ได้นำเรื่องราวเหล่านั้นมาแบ่งปันจนทำให้ใครหลายคนเกิดแรงจูงใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย

เพราะฉะนั้นถ้าหากวันนี้คุณคือคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามากระหน่ำผู้คนในสังคมเมืองอย่างต่อเนื่อง และยังมองไม่เห็นทางออกให้กับชีวิตของคุณ ลองคิดถึงวิถีชีวิตสโลว์ไลฟ์แบบวิถีชนบท และผืนดินรวมไปถึงมรดกทางภูมิปัญญาที่ปู่ย่าตายายทิ้งไว้ให้ กับชีวิตสบาย ๆ เหมือนในวัยเด็กที่คุณเคยผ่านมา สิ่งเหล่านี้อาจจะกลายเป็นทางออกให้กับปัญหาที่คุณกำลังเจออยู่ก็ได้

และถ้าหากคุณสนใจที่จะกลับไปหาชีวิตแสนสบายเหล่านั้นแล้วละก็ แทบจะไม่ต้องกังวลอะไรเลยเพราะทุกวันนี้มีหลากหลายหน่วยงานที่พร้อมจะให้การช่วยเหลือ ทั้งในด้านการให้ความรู้ความเข้าใจในด้านการทำเกษตรกรรม รวมไปถึงการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่ต้องเจอในการทำการเกษตร เริ่มตั้งแต่การแก้ปัญหาเรื่องดินเรื่องน้ำการคัดเลือกพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ของคุณ สิ่งเหล่านี้ถูกรวบรวมไว้แล้วในทฤษฎีเกษตรพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 และภาครัฐก็พร้อมที่จะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ให้กับผู้ที่สนใจ รวมไปถึงยังมีหน่วยงานที่ให้การช่วยเหลือในเรื่องเงินทุนอีกมากมาย และที่สำคัญช่องทางการขายผลผลิตทางการเกษตรที่มีมากขึ้นและสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก ดังนั้นถ้าหากคุณคือคนหนึ่งที่มีความสนใจในวิถีเกษตรแล้วละก็ แทบจะไม่ต้องมีความกังวลเลยก็ว่าได้

ถ้าคุณกำลังถูกปัญหาต่าง ๆ เข้ามากระทบจนคิดว่าทุกสิ่งมืดมนไปหมด ลองจินตนาการถึงแสงสว่างของพระอาทิตย์ยามเช้า ที่ส่องบนผืนไร่นาอันเขียวขจีที่เป็นของเราเอง ในวันที่ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบออกไปเผชิญกับความวุ่นวายบนท้องถนนที่การจราจรติดขัดของเมืองใหญ่ และแก่งแย่งแข่งขันกับใคร วิถีชีวิตเกษตรกรและชนบทแบบนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เป็นคำตอบให้กับปัญหาที่คุณกำลังเจออยู่ก็เป็นได้

วิถีชนบทวิถีชีวิตที่เริ่มเลือนราง

ยุคนี้เป็นยุคที่มีแต่ความทันสมัย เทคโนโลยีต่าง ๆ ก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนเราแทบตามไม่ทัน วิถีชีวิตของคนในยุคนี้ก็เรียกได้อย่างเต็มปากว่าเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ จนเราหลงลืมชีวิตดั่งเดิมของเราไปว่าสมัยก่อนนั้นเราดำเนินชีวิตกันอย่างไรเมื่อไม่มีเทคโนโลยี ไม่มีโซเชียลมีเดีย เราหาความสุขกันอย่างไร เราใช้เวลาว่างไปกับอะไร เพราะยุคนี้เราเสียเวลาไปกับการเล่นโซเชียลมีเดีย ใช้ชีวิตจมอยู่ในโลกออนไลน์จนลืมการใช้ชีวิตในแบบเดิม ๆ ของเราไปแล้ว

วิถีชนบทในยุคปัจจุบัน

                เมื่อพูดถึงวิถีชีวิตในชนบท เราคงนึกภาพการใช้ชีวิตในต่างจังหวัด ทำนา ปลูกผัก ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ไม่ติดกับเทคโนโลยี เรียกง่าย ๆ ว่าการใช้ชีวิตแบบพอเพียง หลายคนคิดภาพว่าถ้าหากเราได้ใช้ชีวิตแบบนั้นเราคงจะมีความสุข แต่ในปัจจุบันเราห่างไกลจากวิถีชีวิตแบบนั้นออกมานานมากแล้ว เพราะในยุคนี้แม้ในต่างจังหวัดเทคโนโลยี หรือความเจริญก็ได้เข้าไปค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชนบทไปหมดแล้วในตอนนี้ เราแทบจะไม่ได้เห็นภาพเด็ก ๆ เล่นสนุกกับธรรมชาติอีกแล้ว ภาพเด็กผู้หญิงเล่นกระโดดยางกลายเป็นเรื่องในอดีตที่เราหาชมยากในสมัยนี้ ชนบทในยุคนี้เต็มไปด้วยเทคโนโลยี โทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย เด็ก ๆ ในชนบทจากที่เคยได้เล่นสนุกอยู่กับธรรมชาติได้สัมผัสการทดลองสิ่งต่าง ๆ ตามแบบของเด็กบ้านนอกก็เปลี่ยนไปกลายเป็นเด็ก ๆ อยู่กับโทรศัพท์มือถือ อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เราไม่สามารถบอกได้ว่าวิถีชีวิตในยุคนี้มันดีหรือไม่ดีกว่ายุคก่อน แต่ในเมื่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรามันเปลี่ยนไปเราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ อยู่ที่ตัวเราว่า เราจะเปลี่ยนตามกระแสสังคม หรือจะยังคงยึดตามแนววิถีเดิม

แต่ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน เราก็ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่สามารถย้อนกลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เทคโนโลยีจะไม่หายไป มีแต่จะเพิ่มขึ้น และผู้คนจะเข้าถึงมันได้ง่ายมากขึ้นเราจะต้องปรับตัว และอยู่กับมันให้ได้ ในความเป็นจริงเราสามารถปรับใช้วิถีดังเดิมให้เข้ากับยุคใหม่ได้ เพียงแค่เราต้องหาจุดตรงกลางให้เจอ ว่าจุดไหนเราจะมีความสุข เราอาจจะไม่จำเป็นต้องไปลูกข้าว ทำนา จับปลาเหมือนยุคก่อน เรายังสามารถใช้สมาร์ทโฟนเล่นโซเชียลมีเดียได้ เพียงแต่อย่าจมอยู่แต่กับโลกในจอมือถือมากเกินไป เด็ก ๆ ควรได้ออกมาสัมผัสธรรมชาติ พ่อแม่เองควรพาลูกออกไปเจอโลกภายนอกไม่ใช่ปล่อยให้จมอยู่กับโทรศัพท์มือถือ สอนให้เขาได้รู้จักการละเล่นสมัยก่อน ผสมผสานการใช้ชีวิตยุคเก่ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตัวเราเองก็ควรออกไปสัมผัสกับธรรมชาติบ้าง การใช้ชีวิตเรียบง่ายแบบวิถีชนบทนั้น ความจริงแล้วมันคือการใช้ชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเอง และต่อให้เราเป็นคนเมืองเราก็สามารถใช้หลักนี้ในการชีวิตได้ การไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่หลงอยู่กับวัตถุ การใช้ชีวิตอย่างมีสตินั้นก็นับเป็นการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงเช่นเดียวกัน